“เดี๋ยวเราจะโอเคขึ้น” คุยเรื่อง ‘2209’ โปรเจกต์สะท้อนการเติบโตของ จีน-คำขวัญ ดวงมณี
“ถึงแม้เรามาได้ไกลประมาณหนึ่งแล้ว แต่ก็ไม่เคยพอ เพราะบางทีเราไม่เคยเรียนรู้ที่จะมีความสุขกับปัจจุบัน”
ความยาว 5 นาที ทำให้เราเห็นถึงการเติบโตของ จีน-คำขวัญ ดวงมณี ผู้กำกับที่ฝากผลงานไว้อย่าง Lover Boy ของ Phum Viphurit, Hurts ของ Tahiti 80 หรือโฆษณาของ Calvin Klein, JO MALONE ฯลฯ
นี่คือ Personal Short Film หรือหนังสั้นส่วนตัวของเธอ พร้อมกับการใช้ชีวิตในวัย 31 ปี
การกำกับชีวิตส่วนตัวผ่านหนังเรื่อง ‘2209’ (เลขวันเกิดของจีน) เผยให้เห็นถึง อุปสรรคตั้งแต่วัยเด็กจนถึงวัยทำงาน ซึ่งเต็มไปด้วยความวิตกกังวล ความหวาดกลัว และไม่แน่ใจกับอนาคต ส่วนตอนจบของหนังสั้นนั้น เรากลับรู้สึกถึงภูเขาที่ถูกยกออกจากอก โล่ง ปล่อยวาง และปลอดโปร่ง ทั้งหมดนี้ถูกถ่ายทอดผ่านตัวละครเสื้อโค้ทสีแดง
“ความตั้งใจแรกอยากปล่อยช่วงวันเกิดปีที่แล้ว เพราะเป็นปีที่เราอายุเข้าเลข 3 เรามีคอนเซปต์ว่า อยากใช้ตัวละคร 3 คน เพื่อสื่อถึงการเปลี่ยนแปลงของช่วงอายุ โดยที่ 3 คนนี้ไม่ใช่นักแสดงคนเดียวกัน แต่ใส่เสื้อผ้าชุดเดียวกัน ถือเค้กก้อนเดียวกัน”
จีนเล่าถึงที่มาที่ไปของ ‘2209’ กับ EQ ก่อนขยายความว่า ตัวละครเหล่านี้คือคนเดียวกันในแต่ละช่วงวัย โดยมีเค้กก้อนเดิมเชื่อมโยงช่วงวัยเหล่านี้ แต่ละคนเตร็ดเตร่ตามถนนมหานครลอนดอนและแถบชนบท โดยสัญลักษณ์ของการเปลี่ยนผ่านก็คือฉากจุดเทียนบนหน้าเค้กนั่นเอง
“ตัวละครแรกจะมีความ insecure มีความไม่มั่นใจ ซึ่งสะท้อนมาจากตอนเด็กที่เรามองไม่เห็นตัวเองอยู่ในสายงานนี้ ไม่รู้ว่าโตมาอยากทำอะไร มีความล่องลอยประมาณหนึ่ง จากนั้นก็ transition เค้กก้อนเดิมสู่ตัวละครที่ 2 ซึ่งเป็นตัวละครที่ masculine ขึ้น เราอยากสื่อถึงปัจจุบัน เราอาจโตขึ้น เราอาจเข้มแข็งขึ้น ก็ลองใช้ตัวละครที่เป็นเพศตรงข้ามกับเรา คนนี้จะเป็นพาร์ทปัจจุบันที่เราทำงานมาสักพัก
“ขณะเดียวกัน ด้วยความที่เราทำงานสายครีเอทีฟ ชีวิตจะมีความขึ้นๆ ลงๆ เดี๋ยวมั่นใจ เดี๋ยวไม่มั่นใจ นำมาสู่ตัวละครที่ 3 ซึ่งเป็นความกังวลที่เป็นตัวตนเรา เรากังวลเรื่องอนาคต ตัวละครนี้จะถือเค้กเข้าไปในป่า ซึ่งป่าเป็นเหมือนสัญลักษณ์ของอุปสรรคที่เขาต้องเจอ เขาไม่รู้หรอกว่าจะเจออะไร แต่อย่างน้อยเขาได้หยุดพักแล้ว
“Key Message คือ เราไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นยังไง เราอาจเปลี่ยนเป็นคนอื่นในอีกปีก็ได้ แต่อย่าลืมหยุดพัก ถ้าโตขึ้นอีก 1 ปี ก็แค่กินเค้ก แล้วช่างมันเหอะ เดี๋ยวเราจะโอเคขึ้นค่ะ”
ถัดจากนี้ คือการตัดต่อหนังสั้นส่วนตัวกับชีวิต 3 ช่วงวัยของ จีน-คำขวัญ ดวงมณี
ความมืดค่อยๆ ถูกแทรกแซงด้วยแสงสว่าง ตัวละครที่ 1 จุดเทียนเล่มแรกบนเค้ก
ตอนเด็กๆ เป็นคนแบบไหน เติบโตมายังไง
พ่อแม่ชอบดนตรี ชอบศิลปะ ทำให้เราไม่ได้ชอบวิชาการ เราเป็นคนหนึ่งที่หลับในห้องง่าย ค่อนข้างชอบที่ได้ทำกิจกรรม
พอสอบมหิดลไม่ติด ก็เปลี่ยนมาเรียนศิลปะ เริ่มติว drawing ตอนแรกอยากเข้า Dec ศิลปากร (Decorative Arts หรือคณะมัณฑนศิลป์) แต่ไม่ได้เป็นคนที่มีความเป็น Illustrator ลายเส้นยูนีคมากพอ ก็เลยสอบไม่ได้ ขณะเดียวกัน เพื่อนอีกคนชวนไปเรียนแฟชั่น ซึ่งเราไม่ได้แพลนมาก่อน เราตามเพื่อนไปเรียน ได้พี่บัณฑิตมาติวแฟชั่นให้ แล้วบังเอิญติดที่จุฬา พอเข้าปีที่ 2 เรารู้ตัวแล้วว่า เราไม่ได้อยากรู้จักการทำเสื้อผ้าในเชิงลึก เหมือนเราชอบแค่ผิวมากๆ เราทำไม่ดีเท่ากับคนที่เขารู้ตัวว่าอยากเรียนแฟชั่น เราทำงานส่งอาจารย์ก็อาจไม่โดดเด่น แล้วเราทำเสื้อผ้าได้ไม่เหมือนแบบที่เราสเก็ตช์ ทำให้เริ่มหาอย่างอื่นที่ยังเกี่ยวข้องกับแฟชั่น แต่ว่าอยู่ในฟอร์มอื่น สิ่งนั้นคือ ‘แฟชั่นฟิล์ม’
เราถ่ายตัดต่อเองง่ายๆ ให้กับรุ่นพี่หรือแม็กกาซีน พอทำมาเรื่อยๆ คนก็จ้างไปถ่ายเบื้องหลังบ้าง แล้วรุ่นน้องคณะให้ช่วยทำแฟชั่นฟิล์มเพื่อโปรโมทให้คนมาดูธีสิส กลายเป็นว่ามันไวรัลโดยบังเอิญ อาจเพราะช่วงนั้นแฟชั่นฟิล์มที่ไทยมีแค่กับแบรนด์ใหญ่ๆ แล้วก็ยังไม่ได้เกิดขึ้นกับงานนักศึกษาบ่อย ศิลปินหรือลูกค้าโฆษณาให้ความสนใจ ตั้งแต่ตอนนั้น ก็ทำมา 8-9 ปีได้แล้ว
การไม่ได้เรียนฟิล์มส่งผลกับการทำงานออกกองยังไงบ้าง
เราสื่อสารไม่เก่งเลย สายงานนี้เป็นเรื่องของชั่วโมงการทำงาน คือต้องออกกองบ่อยๆ และเรียนรู้เยอะๆ แรกๆ จีนพูดไม่เก่ง ศัพท์เทคนิคต่างๆ ก็พูดไม่รู้เรื่อง มีแฮม (ณัฐดนัย นาคสุวรรณ) ที่เป็น DP ช่วยตัดต่อเราในหัว เช่นบอกว่า เราถ่ายช็อตกว้างไปเยอะแล้ว เราต้องมี close-up เพื่อตัดสลับ ซึ่งตอนแรกไม่รู้ เพราะเรามองทุกอย่างเป็นเฟรมหรือเป็นภาพนิ่ง เราค่อยๆ พัฒนาเรื่องนี้ 2-3 ปี เหมือนพอเจองานที่เปลี่ยนไปตามโจทย์ ก็ทำให้เรามีสกิลในการแก้ปัญหามากขึ้น แต่งานออกกองมันมีหลายอย่างที่เราควบคุมไม่ได้อยู่ดี
กลัวอะไรบ้างในตอนนั้น
กลัวดูไม่เก่ง จีนว่าหลายๆ คนเป็น ตอนทำงานแรกๆ เราอยากให้ลูกค้ามั่นใจกับเรา แต่เรายังไม่มั่นใจกับตัวเอง ตั้งแต่เด็ก เวลานำเสนองานหน้าห้อง เราพูดไม่รู้เรื่อง ทุกวันนี้เวลาเรานอนน้อย เราก็ยังพูดรัวเลย ซึ่งพอเราทำงานกับคนเยอะๆ เราชอบรู้สึกว่า เราทำให้เขารู้สึกแย่มั้ย เราไปทำให้ใครเดือดร้อนมั้ย ทั้งที่หน้าที่อาจทำให้เราต้องตัดสินใจอย่างนั้น เราเป็นคนค่อนข้างแคร์ความรู้สึกคน กลัวการถูกตัดสินว่าเขาจะมองเรายังไง
เค้กเปลี่ยนมือ ตัวละครที่ 2 จุดเทียมเล่มถัดมา
หลังจากดู ‘2209’ ซึ่งเป็นหนังส่วนตัวของตัวเองแล้ว เราเห็นตัวเองเป็นคนแบบไหน
รู้สึกว่าเป็นอะไร (หัวเราะ) มันงานส่วนตัว แล้วพอมาฟัง อ๋อ แกเป็นคนแบบนี้นะ แกเป็นคนคิดมาก ย้ำคิดย้ำทำ ก็เห็นตัวเองในนั้นด้วย นี่คือความคิดที่ฉันคิดวนไปวนมา ไม่ค่อยอยู่กับไทม์ไลน์ปัจจุบัน อาจอยู่กับปัจจุบันนิดหนึ่ง แต่ช่วงไหนดาวน์ก็กังวลกับอนาคต
คิดว่าความกังวลหรือความรู้สึกดาวน์เกิดจากอะไร จีนในตอนนี้จะแก้ไขยังไง
เราอาจต้องดูแลสุขภาพจิตให้บาลานซ์ ให้เวลาตัวเองบ้าง เพื่อให้ชีวิตไม่มีความเครียดตลอดเวลา เมื่อเราเจออะไรเยอะๆ เราจะมีความรู้สึกว่า เดี๋ยวมันก็ผ่านไป ช่างมัน ไม่เป็นไรเอาใหม่
มีน้องคนหนึ่งดูแล้วบอกว่า อยากเห็นพี่จีนคนที่ 4 เราว่าจีนคนที่ 4 คงเกิดขึ้น จีนคงพยายามปล่อยวางมากขึ้นกับทุกเรื่อง เราพยายามไม่ฟูมฟายกับเรื่องหนึ่งนาน มองให้เป็นเรื่องกลางๆ ไม่จมกับมันหลายวัน แก้ไขตัวเองด้วยความมั่นใจ รู้ตัวว่าทำอะไรอยู่ ไม่ต้องนึกเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว
หลังจากวันที่จีนจัดงานช็อตฟิล์ม มันมีสิ่งที่ทำให้จีนรู้สึกว่า ฉันจะต้องทำในสิ่งที่ถูก ปกติเราคงเป็นคนไม่กล้าชนหรือพูดในสิ่งที่เรารู้สึก แต่สิ่งนี้มาจากไหนไม่รู้ รู้สึกว่ามันไม่ถูก เราต้องพูด ก็คุยกับเพื่อนสนิทว่า ภูมิใจอ่ะ ได้พูดในสิ่งที่ควรพูด ถ้าเป็นตอนเราเด็กๆ เราอาจเงียบกับบางเรื่อง เป็นจุดเล็กๆ ที่จีนคนใหม่กำลังจะมา มันคงดีขึ้นเรื่อยๆ ตามประสบการณ์ชีวิตเรา
มีโมเมนต์ช่วงออกกอง ‘2209’ ที่น่าจดจำไหม
การที่เราต้องแบกเค้กก้อนเดิมไปทุกที่ใน 1 อาทิตย์ เรามาคิดทีหลังว่า ทำไมเราไม่ให้ทีมอาร์ตทำของปลอม (หัวเราะ) มันเป็นเค้กจริงที่ต้องถือไปตามรถไฟฟ้าใต้ดินหรือเข้าป่า แล้วมันเลอะไม่ได้ พังไม่ได้ เพราะร้านทำอันสำรองผิดค่ะ ทำเป็นไส้ Red Velvet ซึ่งวันถัดมาไส้ซึมรวมกับครีมเป็นเลือดเลย ก็ต้องใช้เค้กก้อนเดียว แล้วมันก็คว่ำในวันสุดท้ายที่ถ่ายพอดี
จากนั้น จีนเอาใบไม้ออกแล้วก็ถ่ายต่อ แต่กลายเป็นว่าได้หน้าเค้กที่พังไปตามอายุของมัน เราเห็นการเปลี่ยนแปลงของเค้กก้อนแรกที่เพิ่งออกมาจากร้าน จนมาถึงซีนจบที่มันหน้าแตก ก็ดูเหมือนคนที่มีอายุเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ทริปนั้นเราเช่ารถขับไปที่นอกเมือง ไปกลับก็ 4 ชั่วโมง แล้วต้องเดินเข้าป่าอีกเกือบครึ่งชั่วโมง กว่าจะออกมาก็มืดแล้ว ขาเข้ายังเจอแกะ ขากลับไม่มีแม้แต่ไฟฟ้า ไม่มีใครอยู่ นี่น่าจะเป็นประสบการณ์ที่สนุก กองมันก็ขนาดเล็ก อยู่กัน 5-6 คน
เราไม่ได้ออกกองอย่างนี้เท่าไหร่แล้ว เพราะว่าเราทำงานในสายงานนี้เข้าปีที่ 9 กองมันใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ แต่การได้ทำสิ่งนี้มันเหมือนการกลับไปทำ Personal Project ในสมัยเราเริ่มงานกับเพื่อนๆ
แล้วกองเล็กๆ มีข้อดียังไง ต่างจากกองใหญ่ๆ ในแง่ไหน
ความคล่องตัวค่ะ มีกล้องตัวเดียว พูดง่ายๆ มันคือกองโจรแหละ เพื่อนเรียนฟิล์มที่นั่นบอกว่า สามารถถ่ายได้เลย ถ้าไม่รบกวนใคร ครั้งสุดท้ายที่ทำแบบนี้คือ 6 ปีที่แล้ว เหมือนแฟลชแบ็คความเป็นวัยรุ่น ตอนนี้ก็เป็นวัยรุ่น แต่ปวดหลังค่ะ (ยิ้ม)
ตัวละครที่ 3 จุดเทียมเล่มสุดท้ายบนหน้าเค้ก
ตอนนี้จีนโฟกัสอะไรอยู่
ในส่วนของงาน ตอนนี้อยู่ใน process ของการทำซีรีส์ เราไม่เคยมีประสบการณ์ทำงานฟีเจอร์กับฟิล์มหรือซีรีส์มาก่อน ส่วนการทำ personal short film ก็เป็นสัญญาณบอกว่า หลังจากนี้ จีนจะ explore กับ personal project มากขึ้น อาจไม่ใช่แค่ฟิล์ม อาจมีภาพถ่าย อาจมีศิลปะแขนงอื่นที่เรามีโอกาสสร้างมันและใส่ตัวเองเข้าไปมากขึ้น
ส่วนงานอดิเรกก็ตีมัทฉะ ชอบสุดๆ วันไหนรีบไปทำงานก็ไม่มีเวลาทำ แต่วันไหนเรามีเวลาและตื่นขึ้นมาทำสิ่งนี้ มันทำให้เราใจเย็นขึ้นในวันนั้น ได้อยู่เงียบๆ
ส่วนสุขภาพของตัวเอง หลังๆ ป่วยง่าย เพราะว่าออกกองไม่หยุด เคยลืมกินน้ำในกอง วันหนึ่งเป็นคออักเสบ ไข้ขึ้นไม่หยุด ไม่สามารถทำงานต่อได้ จีนรู้สึกว่าเป็นเรื่องสำคัญที่เราต้องดูแลตัวเอง แฟนเคยดุว่า ถ้าจีนไม่ดูแลตัวเอง จีนจะทำสิ่งที่จีนรักไม่ได้นะ โห เราน้ำตาไหลเลย คือมันเป็นประโยคง่ายๆ แต่แค่ไปออกกองไม่ได้ เราก็ sensitive แล้ว เพราะเรายังรักตรงนั้นอยู่
งานออกกองหรืองานโปรดักชั่นใช้แรงค่อนข้างเยอะ มองว่าจะทำอะไรต่อถ้าไม่ไหวกับงานโปรดักชั่น
ไม่ใช่แค่จีน แต่คนใกล้ตัวก็รู้สึกเหมือนกัน สายงานโปรดักชั่นใช้งานเยอะ อนาคตจะออกไปทำอะไรก็คิดอยู่ แต่ตอนนี้ทำไหว ก็ทำไปก่อน ทำตรงนี้ต่อไปก่อน
คือจีนน่าจะรักงานนี้จนจีนไม่อยากทำงานอื่นจริงๆ เหมือนเราเลือกงานที่เรารู้สึกว่าลงแรงไปแล้ว เราจะไม่เสียความรู้สึกทีหลัง แต่อนาคตไม่รู้จะทำอย่างอื่นไหม ด้วยวัยที่ต้องบาลานซ์ชีวิตอื่นๆ ของเรา
จนถึงตอนนี้ มีงานที่ตัวเองภูมิใจเป็นพิเศษไหม
เรารู้สึกดีมากๆ กับงาน Calvin Klein ปี 2019 เราโชคดีที่ลูกค้าเลือกเราไปทำแคมเปญในวัน International women's day for Asia ซึ่งเวลาเตรียมงานไม่เยอะ สตอรี่บอร์ดมีแค่โครงสร้างแล้วอาศัยความฟรีสไตล์และการ improvise กับนักแสดง ตอนนั้นเรายังเด็กกว่าตอนนี้เยอะ อายุงานไม่ได้มีความมั่นใจเท่าไหร่ แต่สถานการณ์บังคับให้ต้องมีความมั่นใจ คือมันเป็นครั้งแรกที่จีนได้ทำงานกับคนต่างชาติ เหมือนเป็นการบังคับตัวเองให้ต้องทำให้คนอื่นเห็นว่า คนๆ นี้ทำได้ ทั้งๆ ที่ในใจไม่ได้เลย
พองานออกไปก็ภูมิใจมาก มันขึ้นบิลบอร์ดหลายประเทศ ตอน wrap กองวันสุดท้าย จีนโดดน้ำจากชั้น 2 ของบ้านที่เป็นปาร์ตี้ปิดกอง โดดเสร็จก็ลอยตัวอยู่บนสระ แล้วในสระมีอุโมงค์ที่เปิดไฟ เราลอยตัวเข้าไปในอุโมงค์ รู้สึกดีมากๆ จีนดีใจกว่าจีนสอบติด ดีใจกว่าได้เข้ามหาลัย ดีใจกว่าได้เข้าจุฬาฯ เพราะว่าเป็นงานแรกที่เรารู้สึกว่า มันคือความตั้งใจของเราล้วนๆ
ถ้าไม่ได้เป็นผู้กำกับ อยากเป็นอะไร?
อยากเป็นนักดนตรีค่ะ อยากเป็นแบบ Françoise Hardy, Jane Birkin อยากเป็นโมเดลและเล่นดนตรี อยากมีเพลงของตัวเอง
อยากบอกอะไรตัวเองในอดีต
อาจจะตบบ่า อย่าคิดเยอะ หรืออาจตบหัวแล้วหาอะไรกินดิ๊ คิดมากไป (หัวเราะ)