‘ลองผิดลองถูกกันไป’ วัย 20s กับชีวิตที่ลื่นไหลของ ‘แมทธิว ไมย์’
ทุกการ ‘ลองถูก’ ต้องผ่านการ ‘ลองผิด’ มาก่อน
เราจะรู้ว่าเราชอบอะไร ก็ต่อเมื่อเรารู้ว่าเราไม่ชอบอะไร นี่คงเป็นคำนิยามชีวิตช่วง 20 ของใครหลายๆ คน รวมถึง ‘แมทธิว ไมย์’ นักตักไอติม นักตัดผม นักการตลาด นักขัดหินอ่อน นักร้อง นักดนตรี นักทำไวน์ นักเดินแบบ หรือเรียกง่ายๆ ว่าเป็น ‘นักลองผิดลองถูก’ วัย 26 ปี ที่ก้าวออกจาก comfort zone ค้นหาตัวเองเป็นงานอดิเรก
ช่วงบ่ายแก่ๆ ลมพัดอ่อนๆ เรานัดเจอกับแมทธิวที่ชั้นสองของร้านคาเฟ่เล็กๆ แห่งหนึ่งย่านสุขุมวิท เขาเปิดประตูเข้ามาทักทายพร้อมกับกล่องใบใหญ่ที่ใส่อุปกรณ์ทำไวน์ไว้แน่น แมทธิวสวมเสื้อยืดแบรนด์ของเขาเองกับกางเกงยีนส์สบายๆ และรองเท้าผ้าใบที่โผล่ถุงเท้าลาย Elvis Presley ให้เห็น
เรารู้ทันทีว่าบทสนทนาวันนี้คงไม่ใช่การนั่งคุยกันธรรมดาๆ แต่เราจะได้ลองทำไวน์แบบ homemade ไปกับเขาด้วย
“วัย 20 เป็นช่วงที่ประหลาดนะ มันแปลก น่ากลัวด้วย หลายๆ คนบอกว่ามันจะดีขึ้นตอนอายุ 30 เราก็เลยรู้สึกว่า 20 เป็นช่วงที่เราลองผิดลองถูกได้ มันเป็นช่วงที่น่าจะเคว้งที่สุด I'm still very lost right now แบบจริงๆ ยังไม่ได้เข้าใจชีวิตขนาดนั้น พยายามอยู่ แต่ว่าช่วงนี้แหละ ที่ควรจะเกิดขึ้น
“มันเป็นช่วงที่ต้องหาตัวเอง เราถึงลองทำอะไรเยอะมากๆ”
แมทธิวพูดไปพลางผสมนู่นนี่ไปแบบที่ไม่ต้องใช้เครื่อง ช่าง ตวง วัด จากนั้นบทสนทนาว่าด้วยเรื่องชีวิตที่ไม่มีทฤษฎีตายตัว การค้นหาตัวตน และชีวิตที่ขึ้นๆ ลงๆ เป็นปกติของเขากับเราก็เริ่มขึ้น
เล่าชีวิตวัยเด็กให้ฟังหน่อย
“ตอนนั้นเรียนอยู่ที่ภูเก็ต น่าจะอายุ 9 ขวบเอง ตอนนั้นเราค่อนข้างจะเรียบร้อยมาก เพราะโตมาในครอบครัวที่พ่อเป็นคนเยอรมัน เข้มงวดในหลายๆ เรื่อง อาจจะไม่ได้ซ่าเท่าเด็กภูเก็ตคนอื่นๆ เพราะตอนนั้นเราก็ไม่ได้อยู่ในโซนเดียวกับเพื่อนคนอื่นๆ ด้วย
“พ่อกับแม่น่าจะรู้ว่าอยากให้ลูกทำอะไร หรือว่าเป็นคนแบบไหน ตอนนั้นเราเรียนอย่างเดียวสอบภาษาอังกฤษได้ที่ 1 ของจังหวัด ตัวตนเราตอนนั้นคือ ‘good boy’ เลยล่ะ จากนั้นเราก็ไปสเปน ช่วงประมาณอายุ 14 ได้เห็นมุมมองอื่นๆ ได้เจอวัฒนธรรมใหม่ๆ พอเราอยู่อีกซีกนึงของโลกเรารู้สึกว่าเราจะทำอะไรก็ได้
“ตอนแรกเราก็เอากรอบที่พ่อแม่สร้างไปที่นั่นด้วยนะ แต่กรอบมันดันไม่ฟิตกับหลายๆ อย่าง เวลานอนเปลี่ยน เวลากินเปลี่ยน ความเป็นอยู่เปลี่ยน สิ่งเล็กๆ น้อยๆ พวกนี้มันเหมือน broke my box มันทำให้แบบกรอบที่พ่อกับแม่สร้างไว้แปรรูปไปเป็นอีกอย่างเลย เรารู้สึกว่าถ้า สิ่งเล็กๆ น้อยๆ มันเปลี่ยนได้ อย่างอื่นมันก็น่าจะเปลี่ยนสักวัน มันเป็น domino effect”
แล้วช่วงมหาลัยล่ะ?
“ช่วงนั้นก็หมกมุ่นกับเรื่องดนตรีมากๆ เพราะตอนอยู่สเปนเราไม่ได้อยู่กับพ่อกับแม่ เราอยู่นอก comfort zone มากๆ เรามีกีต้าร์เป็น safe space เลย ตอนปีสี่เราก็ไปสมัคร The Face Season 5 อยู่ทีมพี่โทนี่แล้วก็มีพี่หมูเป็นมาสเตอร์ ก็ถ่ายไปได้สักพักหนึ่ง พอโควิดมาก็เหมือนงานทุกอย่างมันก็ลดลง เรามีรุ่นน้องที่เขาทำบริษัทหินอ่อนก็เลยทักไปถามว่าขอไปทำงานด้วยได้ไหม ก็เลยได้ไปลองขัดหินอ่อน ทำงาน Marketing จากน้ันเราก็ไปทำงาน Marketing ให้แบรนด์แฟชันอยู่สองสามที่
“ตอนเรียนเราได้ลองตัดผมที่ร้านบาร์เบอร์ซุ้มๆ เล็กหน้ามอ แล้วพี่บิลลี่ Tur Hair Salon ก็ทักมาถามว่าอยากลองไปตัดผมที่ร้านไหม เราลองดูแต่พบว่าเราไม่ชอบตัดผมผู้หญิงเท่าไหร่องศาต่างๆ มันยากไปสำหรับเรา”
ทำไมถึงลองทำอะไรหลายๆ อย่าง?
“เราคิดว่าน่าจะเป็นเพราะเราโตมาในครอบครัวที่เราขอเขาทำอะไรหลายๆ อย่าง แล้วเขาตอบว่า no no no no no แต่พอเราไปสเปนเราไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุม เราเลยรู้สึกว่าแบบโลกนี้มันยังมีคำว่า yes yes yes yes สำหรับอะไรอีกหลายๆ อย่าง ก็เลยลองทำไปเลย”
Not a Rockstar But a Rockstar Wannabe
เริ่มสนใจดนตรีตั้งแต่เมื่อไหร่?
“ตอนเห็น Elvis ครั้งแรกเราได้ยินครูสอนภาษาอังกฤษที่โรงเรียนพูด เกี่ยวกับ Elvis และดนตรี rock and roll เราก็แบบ เฮ้ย เราอยากรู้ว่ามันคืออะไร ก็เข้าไปเสิร์ช Yahoo Music เจอ Don't be Cruel by Elvis Presley นั่นคือจุดที่ทำให้เราชอบดนตรีมาจนถึงทุกวันนี้ เราใส่ถุงเท้าลาย Elvis อยู่เลยเนี่ย (โชว์ถุงเท้า)
“ตอนแรกเราขอพ่อซื้อกีตาร์แต่พ่อ no no no no แต่ตอนอายุ 11 มั้งที่เหมือนแบบเราได้เข้าไปเรียนอีกที่หนึ่งแล้วก็เขามีแบบ school band เราก็เลยไปสมัครดู คือทุกคนเล่นกีตาร์เป็น แล้วไม่มีใครอยากเล่นเบส เราก็เลยแบบโอเคเราเล่นเบสก็ได้ สุดท้ายเราได้เบสมือสองมา เพื่อนอีกคนหนึ่งที่นั่งรถตู้ไปโรงเรียนด้วยกันมีกีตาร์อยู่แล้ว แต่อยากเล่นเบส เราก็อยากเล่นกีตาร์ เลยสลับกันเล่น”
เรียนเองทั้งหมดเลยไหม?
“ใช่ การเรียนเองมันคือการเล่นทุกอย่างผิดและถูกไปพร้อมๆ กัน สมมติว่าเราแกะเพลง คือรู้นะว่ามันผิด แต่มันผิดแบบที่มันเป็นเรา the sound is me ลองมาแล้วที่เหมือนแบบเราหยิบกีตาร์ 2,000 กับเราหยิบกีตาร์ 20,000 อ่ะ แต่ถ้าเราเล่นในแบบของเรา ยังไงสุดท้ายซาวด์ที่ได้มันก็เป็นตัวเรา”
เห็นใน Spotify เขียน bio ว่า ‘Rockstar Wanna-be’ เล่าให้ฟังได้มั้ยว่ามันมาจากไหน?
“เราว่าความหมายของการเป็น rockstar มันค่อนข้างตายตัว ‘sex, drugs and rock and roll’ แต่เราทำแบบนั้นไม่ได้ มันไม่ค่อยสมจริงสำหรับเราในยุคนี้ แบบพี่เสกอาจจะทำได้ i love พี่เสกนะ เราแค่มี lifestyle ที่อาจจะไม่ตรงกับสิ่งนี้
“เราว่าเราคงไม่เป็น rockstar แบบเต็มตัวหรอก เราอยากเป็น ‘Rockstar wanna-be’ แบบนี้แหละ มันสนุกกว่านะ เราได้ให้คำนิยามตัวเองก่อนที่ใครจะมาแซะเรา (หัวเราะ)
“เราไม่ได้เรียนดนตรี เราไม่ได้ลงลึกเท่ากับแบบ Progidy หรือ genius คนอื่น เราแค่คิดว่าเราจะทำดนตรีในแบบที่เราชอบ สื่อสารสิ่งที่อยู่ข้างในออกมา อาจจะผิด อาจจะถูก แต่มันก็คือตัวเรา”
ถ้าร่วมงานกับศิลปินคนใดคนนึงบนโลกนี้ได้
“George Harrison จาก The Beatles”
“เพลงแรกที่เราหัดเล่นบนกีตาร์ก็คือ Twist and Shout จากนั้นเราก็ไปแกะกีตาร์เพลงอื่นๆ
ของจอร์จ รู้สึกว่าช่วงแรกเขายังไม่ได้หาซาวด์ตัวเองไม่ได้ แต่พอหลังๆ เรารู้สึกว่า เฮ้ย He is actually a musical genius! แค่แบบช่วงแรกเขาทำงานกับ John กับ Paul เราอยากได้คุยกับเขาว่าเขาทำงานยังไง เขาดูเป็นคน nice ด้วยนะ”
แล้วนิยามดนตรีในแบบ MATTYMETRIC ล่ะ
“น่าจะเป็นคำว่า ‘nostalgia’ นะเพราะว่าทุกอย่างที่เราทำคือมันเพลงที่เราฟังในรถตอนเด็กๆ แบบตอนที่พ่อขับไปส่งที่โรงเรียน เพลงแรกของเรา The Fools and the Sun มันคือ 70’s Rock มันมีความ ACDC มีความ Black Sabbath Chuck Berry เราพยายามเอาซาวด์ที่เราชอบมารวมกัน
“ส่วน The Lines มันก็แบบ The Rolling Stones มากๆ Midnight Delight ก็ 70’s 80’s ตลอด พ่อเราไม่ได้เป็นคนชอบดนตรีขนาดนั้น ทุกอย่างมันเลย shuffle ไปมา ตั้งแต่ Madonna เพลงต่อมาเป็น The Rolling Stones อะไรแบบนี้ แต่ทุกอย่างมันก็มาจากสิ่งที่เราฟังในรถตอนเด็กๆ”
เล่าเรื่องเพลงล่าสุด Midnight Delight ให้ฟังหน่อย
“แรงบันดาลใจมันมาจากเรากินบราวนี่กัญชา แล้วนั่งดู RuPaul's Drag Race กับแฟน มันคือแบบเพลงแบบ Disco หมดเลย เราเลยแบบ yes i like that เพลงท่อนแรกมันเลยเป็น racing hearts… ก็คือหัวใจเราเต้นแรงมาก ตอนที่เรากินบราวนี่ melting chairs… ก็คือตัวเราละลายติดไปกับโซฟา แว่นตาเราเหมือนจะละลายเข้าหน้าไปแล้ว ทุกอย่างมันสีชมพูไปหมด เหมือนเขายื่นมือมาดึงเราเข้าไปในทีวี
“เรารู้สึกว่าสองเพลงแรกอาจจะไม่เข้าหูคนเท่าไหร่ เลยอยากลองอะไรใหม่ๆ โดยเฉพาะเรื่องของเสียงร้อง เราชอบความ the gang sound ของเพลงดิสโก้ ในเพลงนี้เราเลยทำ multi track เป็นเสียงเราหลายๆ คนร้องพร้อมกัน พยายามจะเป็น the gang บ้าง มันสนุกดี”
อะไรคือสิ่งที่ดีที่สุดในการได้เป็นศิลปิน?
“เราว่ามันคือ expression การได้แสดงความเป็นตัวเอง เพราะว่ามันมีบางสิ่งบางอย่าง ที่เราไม่สามารถพูดหรือบอกใครแบบตรงๆ ขนาดนั้น แต่พอเราแปลงมันเป็นเนื้อร้อง มันอาจจะกำกวมแต่ว่าเรารู้ความหมายที่จะสื่อ
“เราคิดว่าสิ่งที่งดงามก็คือคนหยิบมันไปใส่ความหมายของตัวเองได้ เรารู้ว่าความหมายจริงๆ มันคืออะไร แต่ว่าสิ่งที่เราแต่งเราเขียนอ่ะมันก็มีความหมายกับอื่นๆ กับคนอื่นเหมือนกัน เขาอาจจะผ่านอะไรที่คล้ายๆ กันเขาเลยอินไปกับมัน หรืออาจจะผ่านอะไรที่ต่างไปแบบสิ้นเชิงเลยก็ได้”
Not a Supermodel But at Least I Tried
เล่าเรื่องการไปแคสติ้งครั้งแรกให้ฟังหน่อย
“น่าจะโฆษณาอะไรสักอย่าง เขาให้เราเล่นสกี ในห้องตอนนั้นน่าจะมีโมเดลประมาณ 30 คนได้ และมีทีมแคสติ้ง 6 คน เกิดมาไม่เคยเล่นสกีเลย เราไม่รู้ว่าท่าอะไรคือผิดหรือถูกอ่ะ เสร็จเขาก็บอก เฮ้ย น้องมันมีฉากที่ต้องนอนหรือง่วงนอนด้วยนะ เราก็ทำท่าเหมือนจะนอนเพราะเราโคตรเหนื่อยตอนนั้น แล้วเหมือนเขาก็ซุบซิบว่ากลับไปนอนเลยก็ได้ มันแย่อยู่นะ เราโทรหาพ่อเลย เป็นครั้งแรกที่เรานั่งรถเมล์จากศาลายาไปทาวน์อินทาวน์ เราอ้วกด้วย เหมือนแบบความน่าจะแบบเราไม่ได้ชินกับการที่มีคนอื่นในห้อง มันตื่นเต้น กลัวผิดหวังด้วย
“โมเมนต์ที่ทำให้เราอยากเป็นโมเดลหลังจากนั้นคือตอนไปเป็นไลฟ์การ์ดสระว่ายน้ำที่มหิดล เขามีถ่ายงานที่สระว่ายน้ำในมหาลัยแล้วพี่เขาก็ให้มาเป็นไลฟ์การ์ดให้กับนายแบบนางแบบแล้วตอนนั้น มันมีฉากว่ายน้ำ แล้วโมเดลผู้ชายเขาว่ายไม่ได้ พอดูหลังกล้องแล้วท่าทางเขาไม่สวย คนในทีมก็บอกน้องไปว่ายแทนได้ไหม แล้วเราก็ว่ายได้ ลูกค้าก็ชอบ ทุกคนก็ชอบ modelling agency ก็เซ็นต์สัญญากับเราตรงนั้นเลย”
Challenge ของการเป็นโมเดลคืออะไร?
“มันคือการทำตัวให้ชินกับกล้อง เอาจริงตอนนี้เราก็ยังไม่ค่อยชินนะ แต่ก็ต้องทำให้ได้ ส่วนตัวเราว่ามันคืองานที่ออกมามันสวยมาก ดูดีมาก แต่งานเบื้องหลังมันก็มีความยากของมันอยู่ การเป็นโมเดลสำหรับเรามันยังไม่ใช่ไลฟ์สไตล์ที่เราชอบขนาดนั้น
“เราแค่รู้สึกว่าเราปรับตัวให้เข้ากับอาชีพนี้ยากนิดนึง มันมีหลายๆ โมเมนต์ที่เรารู้สึกว่าเราทำได้ว่ะ บางโมเมนต์เราก็คิดว่ามันอาจจะไม่ใช่สิ่งที่เราอยากทำขนาดนั้น แต่สิ่งที่ดีที่สุดคือเราได้เจอเพื่อนร่วมกองที่ดี เรายังเป็นเพื่อนกับหลายๆ คนตั้งแต่อายุ 16 จนถึงทุกวันนี้ เราชอบที่เราได้เจอเพื่อนร่วมงานที่โอเคนะ แต่ 20% ที่ไม่โอเคเราก็เจอนะ (หัวเราะ)”
ประสบการณ์ตรงนี้ทำให้รู้จักตัวเองเพิ่มขึ้นไหม?
“รู้ว่าเราทำได้ แต่บางที่มันก็ไม่ใช่สิ่งที่อยากทำ เราปรับตัวกับไลฟ์สไตล์ตรงนั้นยากนิดนึง
“เรานอนตีสามตีสี่ ตื่นแปดโมงไปฟิตเนส ไปแคสงานแล้วกลับมานอนต่อ มันมีช่องว่างที่เราไม่รู้จะทำอะไรกับชีวิต เป็นช่วงที่แบบเราไม่ค่อยได้เล่นดนตรีด้วย เราค่อนข้างจะ lost มากๆ ไม่มีเป้าหมายในชีวิต”
แล้วเป้าหมายในชีวิตตอนนี้คืออะไร?
“เราอยากมีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันก่อนจะ 30 อ่ะ แบบก่อนที่มันจะดี เราก็เลยรู้สึกว่าโอเคเรา suffer ตอนนี้ไปก่อน now หวังว่าในช่วงอายุ 30 มันจะค่อยๆ ลงตัว มั่นคงมากขึ้น แต่ว่าเราก็ยังอยากที่จะเอาส่วนตรงนั้นมาหล่อเลี้ยง passion project เล็กๆ น้อยๆ ของเรา เช่น เสื้อผ้า ดนตรี ซึ่งมันก็ใช้เงิน”
เส้นทางการลองเป็นโมเดลของแมทธิว ทำให้เราเข้าใจการ ‘ลองผิด’ มากขึ้น ว่ามันไม่เป็นไรเลยที่จะใช้เวลาสักหน่อยเรียนรู้สิ่งที่ไม่ใช่สำหรับเรา สุดท้ายแล้วมันจะเป็นตัวจุดไฟให้เราตามหาสิ่งที่ใช่กว่าต่อไป
Not a Winemaker but a Wine Scientist
เห็นว่าตอนนี้ทำไวน์ด้วย?
“ใช่ มันเริ่มจากเราไปทำงานที่ร้านไอติมที่กำลังจะมี natural wine bar ตอนนั้นมันกำลังมา แล้วเราก็ไปเห็นราคาหลังบ้านมันน่าลอง เราเลย research จนมันขึ้นมาในฟีดของ Tiktok ว่าแบบ ‘You can make alcohol at home with honey’ จากคลิปนั้นเราก็ซื้อโหลแก้วซื้ออุปกรณ์ต่างๆ ประมาณ 3,000 3,500 แล้วก็ลองหมัก แบตช์แรกน่าจะโหล 2 โหลแรกมั้ง กินไม่ได้เททิ้งหมดเลย ลองไปเรื่อยๆ ก็ออกมาเป็นแบรนด์ไวน์ ‘Itchy Tipsy’”
ทำไมถึงชื่อ Itchy Tipsy?
“มันคือ an itch to explore หรือ desire to explore and be creative อ่ะ เหมือนเวลาได้แรงบันดาลใจอะไรสักอย่างมา แล้วอยากเอามันออกมาใช้อ่ะ แบบนั้นเลย เออมันคันอ่ะ
“เราไม่ได้เป็น winemaker ขนาดนั้น เราไม่ได้มีความรู้แบบจริงจังตามสูตรของการทำไวน์ เราไม่ได้เรียนอะไรมาด้วย แล้วเราก็ไม่ได้ดื่มไวน์เยอะ แต่เรารู้ว่าเราชอบอะไรในเชิงของรสชาติ เราชอบ create รสชาติแต่ละอย่างของ Itchy Tipsy อย่าง ข้าวเหนียวมะม่วง ฝรั่งบ๊วย มันทำให้เรานึกถึงตอนเด็กๆ ที่แม่เราซื้อฝรั่งจากรถเข็นผลไม้ข้างทางมาให้กินอ่ะ มันอะเมซิ่งมาก เราอยากสร้างโมเมนต์อะไรแบบนั้นให้หลายๆ คน มันคือการได้กลับไปเจออะไรตอนเด็กๆ ด้วยมั้ง”
ไวน์ที่คิดว่าแปลกที่สุดตั้งแต่ลองทำมา
“ล่าสุดเราหมัก รูบาร์บ มันคือผัก เนี่ยเดี๋ยวจะกลับไปชิมครั้งแรกคืนนี้เลย แล้วก็มีอัญชันมะนาว เราจำได้ว่าก๋วยเตี๋ยวข้างมอที่เราไปกินมีป้าเขามาเสิร์ฟน้ำสีม่วงให้เรา เรากลับมาจากสเปนเราไม่เคยเห็น ตอนเด็กๆเราก็น่าจะไม่เคยกิน แต่ว่าเราเราชอบมากๆ ก็เลยมาลองทำดู”
ขวดไหนที่ใส่ความเป็นแมทธิวเข้าไปมากสุด?
“Coco Loco มันคือไวน์สับปะรดมะพร้าว เราเด็กภูเก็ต เด็กเกาะ เราใช้สับปะรดปัตตาเวียจากภูเก็ตหมดเลย เราชอบสับปะรดกวน ชอบ Piña Colada ด้วย ชอบฟังเพลง Escape (The Piña Colada Song) เปิดฟังบ่อยมากตอนเด็กๆ มันดีที่ได้กลับไปในความทรงจำช่วงนั้น
“ตอนเราทำ wine tasting ครั้งแรกๆ เรามีเพลงให้ทุกขวดเลย เพลง Like A Virgin สำหรับรส Daddy's Credit Card Coco Loco กับเพลง Escape (The Piña Colada Song) เรามีรสชื่อ Jumping Jack Flash เราก็เปิด เพลง Jumping Jack Flash ของ The Rolling Stones มันลิงก์กัน”
ชอบอะไรที่สุดในการทำไวน์?
“Creative process เราว่าการทำไวน์กับทำเพลงมันคล้ายๆ กัน ที่เราสามารถแปรรูปความคิดสร้างสรรค์ของเราให้เป็นอะไรสักอย่างให้คนไป experience สิ่งนี้ไปกับเราได้ เราถึงชอบสองสิ่งนี้มาก คนสามารถเข้าถึงความเป็นตัวเราผ่านสองสิ่งนี้ได้”
ยังมีอะไรที่อยากลองทำอีกมั้ย?
“เราสนใจการทำสวนนะ พอเราใช้ผลไม้ทำไวน์มากขึ้น เราเริ่มอยากจะปลูกเอง แล้วก็เอาตัวเองไปอยู่ต้นทางของ process ทั้งหมดเลย ตอนนี้คือเรา source จากพวกแบบออร์แกนิคฟาร์มต่างๆ ซึ่งมันก็ช่วย community ในทางนึง แต่เรารู้สึกว่าถ้าเราสามารถปลูกเองได้ มันก็น่าสนุกดี
“เราก็ไม่ได้เห็นภาพตัวเองผสมไวน์หน้างานตลอดเวลา รู้สึกว่าหลบไปอยู่ในสวนบ้างดีกว่า ซึ่งยังไม่เคยทำนะ แต่ก็อยากลอง”
แมทธิวเป็นมนุษย์ที่ทำหลายอย่างมากๆ แล้วการเป็นมนุษย์สำหรับเราคืออะไร?
“มันคือการปรับตัวนะ ความเป็นมนุษย์มันคือการที่เราต้องปรับตัวกับทุกอย่าง มันคือวิธีการอยู่รอดของมนุษย์ ถ้าเรา adapt กับทุกๆ อย่างที่มันโดนโยนใส่เราได้ เราก็รอด
“มนุษย์เฟลได้ ล้มเหลวได้ เอาจริงเฟลไปเถอะ ความล้มเหลวคือการเรียนรู้ อย่าไปกลัวที่จะลองผิดบ้าง มากสุดก็คือโอเคแย่สุดคือตาย แต่ว่าแบบมากสุดก็คือน่าจะโดนด่า ซึ่งในหลายๆ ครั้งอ่ะการโดนด่ามันก็มันก็เป็นสิ่งที่ไม่ได้แย่ขนาดนั้น บางทีมันคือ wake up call นะ”
เสียดายอะไรในชีวิตไหม?
“I have no regrets, it’s been a fun ride”
ประโยคด้านบนของแมทธิวทำให้เราฉีกยิ้มเบาๆ ก่อนจะจดยุกยิกลงในสมุดโน๊ตเล่มเล็กๆ ของตัวเอง พลางคิดในหัวว่า ช่วงวัย 20 นี่มันช่างมีเสน่ห์อย่างบอกไม่ถูก เป็นจังหวะดนตรีที่เราใส่เนื้อเพลงได้อย่างอิสระ เป็นรสชาติไวน์หวานเปรี้ยวปนเฝื่อนที่เราได้ลิ้มลอง และเป็นการแคสติ้งบทบาทใหม่ไปเรื่อยๆ ไม่มีทฤษฎีตายตัวสำหรับการใช้ชีวิต เราแค่ต้องปรับตัวและเรียนรู้กันไปให้สุดทาง
{{spotify}}