เร็กเก้ สกา ดั๊บ ชีวิตที่ผ่านมาและชีวิตที่ศรีราชาในปัจจุบัน คุยหนึ่งกรู๊ฟเบาๆ กับ ‘แก๊ป—เจษฎา ธีระภินันท์’
ที่บ้านไม้ 2 ชั้นริมทะเล EQ นั่งคุยกับ เจษฎา ธีระภินันท์ หรือรู้จักกันดีในชื่อ แก๊ป T-Bone นักร้อง นักแต่งเพลง และมือกีต้าร์ วงเร็กเก้-สกา รวมถึงโปรเจ็กต์เดี่ยวอย่าง Ga-Pi ที่ทำดนตรี Reggae Dub หรือแนวดนตรีย่อยที่แยกออกมาจากเร็กเก้ตั้งแต่ทศวรรษ 1960 โดยแก๊ปได้นิยาม Ga-Pi ไว้ว่าพื้นที่อิสระของความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งถือเป็นรสชาติที่กลมกล่อมผ่านการเดินทางหลายสิบปีของเขา
ท่ามกลางชายคาและแมกไม้ เสียงเห่าหอนของน้องหมา เสียงนกพูดคุย และบางเบาของลมทะเลที่หอบไออุ่นปนเย็นของผิวน้ำเบื้องไกลมาชะโลมห้องมิกซ์เสียง Jahdub Stido ชายวัยกลางคนผมทรงเดรดล็อคที่มวนเป็นวงบนหัวเผยรอยยิ้มพิมพ์ใจ สุ้มเสียงทุ้มลึกในถ้อยคำ ภาพด้านหน้าทำให้เราอดใจถามไม่ได้ว่า แก๊ปนิยามตัวเองเป็น Rastafari รึเปล่า (Rastafari คือวัฒนธรรมหนึ่งที่มีต้นกำเนิดจากประเทศจาไมก้า มีวิถีชีวิตเฉพาะตัว รักสันติ ดนตรีเร็กเก้ และมีภาพลักษณ์ของการสูบกัญชา)
“ถ้าผมเป็น Rastafarian ผมจะไม่ดื่มเบียร์ จะกินแต่ Ital Food (อิ-ทัล) จะไม่กินเนื้อสัตว์ จะเป็นมังสวิรัติ แต่ผมแดกทุกอย่างเลย เป็น Rastafari แค่ทรงผม”
เราหัวเราะกันหนึ่งกรู๊ฟเบาๆ ก่อนล่องลอยสู่บทสนทนาว่าด้วยเร็กเก้ สกา ดั๊บ ดนตรี ชีวิตที่ผ่านมา และชีวิตที่ศรีราชาในปัจจุบัน
ชีวิตวัยเด็กของ แก๊ป T-Bone เป็นแบบไหน
เกิดที่เบตง โตที่สงขลากับเพชรบุรี เป็นเด็กต่างจังหวัด แล้วถึงเข้ามาเรียนกรุงเทพฯ พ่อรับราชการ ถูกย้ายบ่อย (หัวเราะ)
จำอะไรไม่ค่อยได้แล้วครับ ที่จำได้และกลับไปบ่อยๆ คือเพชรบุรีและสงขลา ชอบอาหาร บรรยากาศ แล้วก็ผู้คน เราคุ้นเคยตั้งแต่เด็กๆ
เวลาอยู่ที่กรุงเทพฯ พ่อแม่ผมยังอยู่ที่ต่างจังหวัด แล้วผมก็เข้ามาเรียนหนังสือ อยู่ที่บ้านแถวคลองสาน ฝั่งธนฯ ตอนเรียนรู้อย่างเดียวว่าไม่ชอบการศึกษา ไม่ชอบ ไม่ประทับใจ แล้วก็นั่งรถเมล์ผ่านวิทยาลัยช่างศิลปที่วังหน้า รู้สึกอยากเขียนรูป รู้สึกต้องเรียนศิลปะ มันใช้สมองได้อิสระดี
เรียนได้ดี ทำงานได้ดี แล้วก็เรียนไม่จบ เพราะพอกำลังจะจบและกำลังจะสอบเอ็นฯ ผมตกรุ่นมาจนรุ่นผมเป็นรุ่นพี่ในมหาวิทยาลัยแล้ว พอไปศิลปากร เรารู้สึกไม่ชอบกิจกรรมรับน้อง ไม่เรียนแม่งเลย ไปบอกอาจารย์ว่าผมไม่เรียน ผมทำงานเลย ทำงานเสื้อผ้าอยู่สักพักหนึ่ง ได้ทำงานกับพี่ๆ เก่งๆ หลายคน เริ่มจากไปเป็นพนักงานขายก่อนที่ Greyhound ได้เริ่มทำ silkscreen เริ่มได้ออกแบบเสื้อผ้า
ตอนนั้นที่เที่ยวคือแถวหลังสวน จะมีร้าน Brown Sugar ร้าน Old West ร้านจะแนวๆ หน่อย สังคมตอนกลางคืนก็อยู่ตรงนั้น ทำไปสักระยะหนึ่ง เรารู้สึกได้ว่าชอบกลางคืนว่ะ เริ่มมีชีวิตกลางคืน มั่วไปเลย
ทำไมถึงชอบใช้ชีวิตกลางคืน
วัยรุ่นมันนอนไม่หลับไง (หัวเราะ) แล้วสมัยก่อนไม่ได้มีอินเทอร์เน็ต ไม่มีอะไรให้เราเสิร์ชดู ทุกอย่างต้องออกไปหาเองหมด ซื้อของก็ต้องไปจับมันเอง จะฟังเพลงหาแผ่นเสียงก็ต้องเดินไปหามัน มันไม่สามารถเข้ามาหาเรา เหมือนมีการแสวงหา มันสร้างแรงบันดาลใจ
จริงๆ เล่นดนตรีกับพี่กอล์ฟ-นครินทร์ ธีระภินันท์ แล้วก็คุณหนุ่ม-พิรศุษม์ พัฒนะจินดารักษ์ T-Bone ตั้งแต่สมัยเรียนที่ช่างศิลป แต่คุณกอล์ฟเขาจริงจังหน่อย เขาก็ไปเรียนแจ๊ซ มีแบนด์เล่น เริ่มฟอร์มวง เขาจะเล่นบลูส์กัน คราวนี้ผมไปแจม ไปแจมเฉยๆ ก็เริ่มจากตรงนั้นฮะ
ตอนนั้นชื่อ T-Bone รึยัง
ยังครับ จนไปออดิชั่นถึงมีชื่อ T-Bone คือมาจากกางเกงยีนส์ เป็นแบรนด์ชื่อ T-Bone เหมือน T-Bone Walker ศิลปินบลูส์ วันนั้นใส่กางเกงยีนส์ตัวนั้นไป พอฝรั่งถามว่าแบนด์ยูชื่ออะไร ก็โอเค ชื่อ ‘ทีโบน’ ที่มาก็อย่างนั้น ไม่มีอะไรลึกเลย
แล้วทำไมถึงมาทำวงดนตรีเร็กเก้
เพราะว่าตอนเด็ก น้าของผมมีแผ่นเสียงเยอะ ผมจึงฟังเพลงฝรั่งมากกว่าเพลงไทยตั้งแต่เด็ก ได้รู้จัก The Beatles, Queen, Stevie Wonder สุดท้ายชอบเพลงที่เป็นคนผิวดำร้อง พอมาเล่นดนตรีก็เลยตั้งใจจะเล่นเพลงอิมโพรไวส์ สมมุติเราเอาเพลงของ Stevie Wonder มา เราจะเล่นแบบที่เราเล่น ก็อิมโพรไวส์กัน ลักษณะเหมือนแจมแบนด์ เพลงที่เลือกก็จะเป็นเพลงโซล เพลงของคนผิวดำ
เหมือนกับว่าพอเราเป็นลีดเดอร์ของวง T-Bone เมื่อพฤติกรรมของเราเปลี่ยนไป ตัวตนที่ชัดเจนของเราจะมีผลกับกับแบนด์ข้างหลัง คราวนี้ไอ้สิ่งที่ผมชอบมันก็ออกมาเรื่อยๆ
จนออกมาเป็นเร็กเก้?
เร็กเก้ชัดเจนสุดครับ เป็นตัวเองที่สุดแล้ว
ตอนนั้นผมเริ่มเที่ยวด้วยมั้ง สมัยก่อนเที่ยวเกาะ มันยังบริสุทธิ์อยู่ ได้เจอคน เจอฝรั่ง เจอฮิปปี้ที่มาเที่ยวกัน แล้วเขาค่อนข้างเป็นคนชัดเจน ได้เรียนรู้อะไรจากตรงนั้น ได้รับวัฒนธรรมมา แต่ผมรู้จักดนตรีเร็กเก้มานานเพราะผมฟังเพลงตั้งแต่เด็กๆ น้องสาวเป็นคนส่งเทปให้ เป็นของ Bob Marley แต่ไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่รู้ว่าเราชอบแนวนี้ เริ่มจากเล่นเพลง Bob Marley นี่แหละครับ สุดท้ายมันชัดเจนขึ้น
ทำงานกับเร็กเก้ยังไงในยุคที่ยังไม่แพร่หลายในไทย
เราเริ่มคนแรกมันก็ทำให้เป็นวงกว้างยาก สมมุติพอเริ่มทำเป็นเพลงไทย ก็ขัดใจอยู่เพราะมันไม่ได้อย่างที่เราคิด แล้วเราเองก็ทำไม่เป็นนะ เราบอกในสิ่งที่เราต้องการไม่ได้ เพลงเร็กเก้มันไม่แพร่หลาย ถึงเขาจะมี Reference มีเพลงฝรั่งมิกซ์ฟัง แต่ก็ไม่ใช่อีก มันต้องคนสายตรง มันทำให้ผมเริ่มต้องทำอย่างอื่นด้วย เพื่อให้ได้ซาวด์แบบที่ต้องการ ก็คือเริ่มเป็นมิกซ์ด้วย พอเรารู้ตรงนี้มากขึ้น งานของเรามันก็ชัดขึ้นเรื่อยๆ เพราะเราเข้าใจมันมากกว่า
เหมือนเราแก้ไขด้วยการลงลึกกับมัน?
ใช่ครับ เราต้องการจบงานเอง เพราะเราคิดว่าเสียงที่เราได้ยิน เราเข้าใจมันมากกว่าคนอื่น มันไม่มีใครเก่ง แต่จะต้องชัดเจน คุณฟังเพลงอะไร คุณจะต้องเก่งแบบนั้น ตัวตนคุณเป็นยังไง คุณทำอะไรก็แล้วแต่ มันชัดเจนในตัวคุณเองอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นผมไม่ได้เก่งในสิ่งอื่น เพลงแนวอื่น หรือสิ่งที่ผมไม่รู้จัก ถ้าผมทำไม่ได้ ผมก็จะยอมรับ ผมไม่ดื้อ แต่อะไรที่ผมถนัด ผมจะทำเอง
หลักการในการเขียนเพลงของพี่แก๊ปคืออะไร
หลักการแรกตั้งแต่ทำเพลง จะมีคอนเซ็ปต์ว่าต้องเขียนเพลงให้ได้อยู่ให้นานที่สุด จะไม่มีเพลงอะไรที่ฮิต 3 วัน ไม่มีเพลงอะไรที่ใช้คำศัพท์ในปัจจุบัน แบบว่าคำฮิตๆ แสลงฮิตๆ เอามาใช้ในเพลง ไม่มี แล้วจะต้องมีเพลงที่เกี่ยวกับธรรมชาติ นั้นคือคอนเซ็ปต์แรกตั้งแต่เริ่มเขียน
ทำไมต้องมีธรรมชาติในนั้น
นั่นน่ะสิ ผมเขียนเพลงเพื่อสิ่งแวดล้อมมา ก็มีตั้งนานแล้ว จนวันนี้ก็พูดเรื่องเดิมอยู่ดี มันช่วย แต่ไม่ได้มี impact กับคนหมู่มาก เพราะว่าวิถีชีวิตมันเปลี่ยน ความสะดวกสบายต่างๆ หรือขยะมันเยอะขึ้น
ทุกวันนี้ผมยังใช้ปิ่นโตอยู่ ผมจะมีกล่องอาหาร ซื้อข้าวเที่ยงก็ถือกล่องไปเอง หรือใครไปซื้อก็ฝากไป ถ้วยกาแฟพกติดตัวตลอด ถุงผ้าเต็มรถ แยกขยะด้วย บางอย่างตอนนี้ก็ไม่พูดแล้ว ทำแม่งเลย ถ้าเราพูดแล้วเราไม่ทำมันก็เสีย อย่าไปพูดเลยดีกว่า เพลงอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมมันเลยยาก ยากมากๆ
ในฐานะนักดนตรี เหมือนเราอยากใช้เพลงช่วยธรรมชาติให้มากที่สุดรึเปล่า
ใช่ มันคงเป็นสิ่งหนึ่งที่เราชอบ แล้วมันก็เขียนออกมาเอง แต่ถ้าผมจะเขียนเพลง ผมจะไม่ได้เขียนจากกลอน ผมจะเริ่มจากการมีเมโลดี้และดนตรีก่อน รู้สึกยังไงกับเสียงกับเมโลดี้นี้ที่ได้ยิน แล้วค่อยเขียนเนื้อร้องเข้าไป ส่วนความคิดอ่านของผม บางทีก็เกิดจากการคุยกันกับใครสักคน บางทีมีแค่ 2 คำ แต่แม่งโดนฉิบหาย ก็จะจดไว้
เอกลักษณ์ของเพลงเร็กเก้คืออะไร
ผมว่าเร็กเก้กับสกามันเป็นแฮปปี้มิวสิก เพลงมันดีดๆ เร็กเก้จะดรอปลงมาหน่อย แต่ว่ามันก็รูทดี แล้วจังหวะมันครับ จะเรียกชอบจังหวะช้าๆ ก็ได้
แล้วเป็นคนช้าๆ ไหม
ไม่ครับ เป็นคนร้อน เป็นคนเดือด เดือดหมายถึงว่าเอเนอจี้เยอะ ไฟลุกตลอด
เพลงเร็กเก้ช่วยให้สงบลง?
ใช่ครับ ประมาณหนึ่ง แต่หลักๆ แล้วผมแยกตัวเองออก อย่าง T-Bone เล่นรูทเร็กเก้เป็นดั๊บไม่ได้ ดังนั้น T-Bone ผมก็จะทำเป็น Rocksteady Ska คือทุกคนเป็นอย่างงั้น ส่วนแนวที่ลึกๆ ดีพๆ หน่อย ผมก็มีโปรเจ็กต์ Ga-Pi ที่ทำเพลงเร็กเก้ดั๊บ
แล้วเอกลักษณ์ของ T-Bone คืออะไร
ผมว่าอยู่ที่แบนด์แล้วนะ คือตอนนี้ T-Bone มีเพลงบรรเลงเยอะมาก ถ้าไม่เห็นว่ามีผมอยู่ ก็ยังเป็นเสียง T-Bone อยู่ T-Bone เป็นวงที่นักดนตรีหลากหลาย แล้วก็เป็นนักดนตรีแจ๊ซ ส่วนเร็กเก้ เล่นสกา มันมี 2-3 คอร์ดง่ายๆ ก็ชับ ชับ ชับ ชับ แค่คุณตีอย่างนี้สัก 3 นาที สำหรับคนที่มีความรู้เยอะ มันน่าเบื่อมาก มันทรมานมาก เพราะฉะนั้น T-Bone จะค่อนข้างฟรี อิสระในเรื่องความคิด เรื่องการอิมโพรไวส์ เราอยู่ด้วยการเล่นสด คือเล่นแต่ละครั้งไม่เหมือนกันเลย แล้วแต่ฟีลว่าจะพาเราไปยังไง
ขั้นตอนการทำ Ga-Pi ต่างจาก T-bone มากไหม
แตกต่างครับ Ga-Pi ค่อนข้างอิสระ ไม่ต้องแคร์อะไรทั้งสิ้น ส่วน T-Bone ต้องรักษามาตรฐาน T-Bone เอาไว้ทำให้ดีขึ้น แล้วก็ไม่ทำให้หลุดจนไม่ใช่วง T-Bone
ตอนที่ทำ Ga-Pi คืออยากทำที่ชอบ เป็นเร็กเก้ที่เป็นรูท เลยมาเป็นโปรเจกต์ดั๊บ แต่สิ่งแรกที่คิดก็คือ
ทำเพลงร้องให้น้อยที่สุด งานเดี่ยวตัวเองกลายเป็นเพลงบรรเลงเยอะ เพราะไม่ต้องการให้มันไปทับกับงาน T-Bone โชคดีที่มันเป็นดั๊บ เลยได้ใช้จินตนาการของเสียง สร้างสิ่งที่เราสื่อสารออกมา
ดนตรีเร็กเก้สอนอะไรเราบ้าง
ที่แน่ๆ คือรู้จักตัวเองว่ากูจะเป็นอะไร จะทำอะไร แล้วก็อยู่กับมันมานาน อยู่จนมีเพื่อนที่เป็นศิลปินต่างประเทศ แล้วก็ได้เจอคนที่เป็นตำนานมาหาเราถึงที่นี่ ภูมิใจกับตรงนั้น เริ่มจาก 1 คนก่อนแล้วหลังจากนั้นมันก็พัฒนาต่อเนื่องกันไปเรื่อยๆ จนตอนนี้มีผมรับแขกทุกปี
แล้วทุกวันนี้มีแนวคิดในการใช้ชีวิตยังไง
ใช้ชีวิตอย่างมีศิลปะ ก็คือเรียนศิลปะมา แต่สิ่งที่ได้คือศิลปะในการใช้ชีวิต จริงๆ อยู่กับตัวเอง แล้วรู้ว่าตัวเองทำอะไรได้ พอได้แค่ไหน จริงๆ ก็โลภนะ แต่ว่าจะไม่โลภถ้าต้องเปลี่ยนตัวเอง จะไม่ทำในสิ่งที่ตัวเองไม่ถนัด ก็เลยไม่ร่ำรวย
ผมเป็นโปรดิวซ์ ผมเลือกมิกซ์ให้น้องๆ นะ ไม่ใช่ใครส่งอะไรมาก็ทำให้ ผมไม่มาทนฟังเพลงที่ตัวเองไม่ชอบแล้วต้องทำเพื่อแลกกับเงิน เพราะผมต้องฟังเพลงเขา 100 ครั้ง แล้วถ้าผมฟังเพลงที่ไม่ชอบ 100 ครั้ง คุณทำงานไม่ได้ดีหรอก เพราะฉะนั้นข้อแรกของการรับงาน ก็คือผมต้องชอบงานนั้นก่อน พอผมมีความรู้สึกชอบ ไอเดียจะมา มองเห็นภาพรวม จะมีความสุขมาก มันเหมือนเลือกงาน แต่ว่าไม่ค่อยได้เงินนะ งานพวกนี้หลายงานที่ใจล้วนๆ ฟรี ขอให้แค่ชอบงาน
แต่ถ้าผมเป็นคนอีกแบบหนึ่ง ผมก็จะไม่หลอกตัวเองเหมือนกัน เช่น บางคนคิดว่าความสำเร็จคือการมีชื่อเสียงและเพลงดัง ก็เป็นเรื่องปักเจกของศิลปินแต่ละคน แค่เขายอมรับในสิ่งที่เขาเป็น ก็ทำแม่งเลย เอาให้แม่งรวยที่สุด ไม่ต้องพูดเรื่องอุดมคติหรืออุดมการณ์ ค้าขายกันมาเลย ชัดเจน อันนี้น่ารักสุดๆ แต่ว่าถ้าเราบอกจะค้าขาย แต่เราอ้างอุดมการณ์อยู่นั่นน่ะ คนแบบนั้นก็เหมือนเอาศาสนามาหากิน ดังนั้นผมจะค่อนข้างให้ความเคารพกับคนที่เคารพงานมากกว่า
ชีวิตที่ศรีราชาเป็นยังไงบ้าง
อยู่ที่นี่ อยู่กับตัวเอง บางวันไม่ได้พูดอะไรเลย ถ้าอยู่คนเดียวแบบไม่มีใครมาก็เงียบทั้งวัน พูดคำแรกคือเหนียวปาก แบบว่าพูดไม่ออก แต่มีความสุข ชอบอยู่อย่างนี้ เป็นคนเล่นดนตรีเสียงดัง แต่ชีวิตจริงชอบอยู่เงียบๆ ไม่ชอบอยู่กับเสียงดังๆ บางวันไม่เปิดเพลงเลย แปลกอยู่เหมือนกัน
ผมใช้คำว่าดีเลยนะ เพราะมันต่างจากเมืองหลวงสุดๆ มันยากตรงที่บังคับตัวเองให้ทำงานต่อเนื่อง นั่นยากสุดแล้ว อีกอย่างหนึ่งเวลามาเที่ยวจะรู้สึกมันน่าอยู่ แต่ว่าถ้าอยู่จริงๆ จะทำอะไร เหมือนเรามีบ้านอยู่ต่างจังหวัด เรากลับไป มันน่าอยู่ที่สุดแล้ว แต่เราจะทำอะไร ยิ่งถ้าเรากำลังเป็นวัยที่สร้างงานน่ะ มันยาก แต่ว่าเดี๋ยวนี้มันก็ทำได้หมด อยู่ตรงไหนก็ทำได้ใช่มั้ยครับ
ไอ้สิ่งที่ผมสร้างและเป็นคนแบบนี้ได้ จริงๆ เกิดจากประสบการณ์การออกไปเดินทาง เจอสิ่งต่างๆ มันสร้างทั้งความคิดและแรงบันดาลใจ แต่ตอนนี้หยุด เหมือนขาดการแสวงหาไป แต่ว่าแรงบันดาลใจมันยังอยู่ พลังงานยังอยู่
พอเราได้เห็นคนหลายๆ รูปแบบ อยากรู้ว่าความเป็นมนุษย์ในมุมมองของพี่แก๊ปมันคืออะไร
จริงๆ มนุษย์เกิดขึ้นมาเพื่อเรียนรู้ชีวิต ไม่มีอะไรมากกว่านั้น เรียนรู้ที่จะอยู่ต่อหรืออยู่อย่างต่อเนื่อง แล้วมันเป็นเรื่องธรรมชาตินะ ผมว่ามันสัมพันธ์กัน
ปัจจุบัน ผมนับถือในคำสอนมากกว่า รู้ว่าเราจะปฏิบัติตัวยังไง อะไรชั่ว อะไรดี อะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ ผมจะเป็นคนอย่างนี้ได้ผมก็ตัดหลายๆ อย่างไป ทิ้งแม่งทุกอย่างเลย กว่าจะเจอตัวเองก็ถือว่าเอาเปรียบคนอื่นเหมือนกัน
เช่น เคยเอาของเพื่อนไปจำนำตอนเด็กๆ แล้วก็ไม่ได้ขอโทษจนโต ติดใจว่าแม่งแย่ว่ะ บางอย่างที่ทำไปแล้วมันแก้ไขไม่ได้ อันนี้สอนตัวเองให้อยู่ได้โดยที่ไม่ตกเหว แม้ชีวิตจะโลดโผน แต่ก็คุ้มครองตัวเองได้ ผมว่ามันคือหลักการของการมีชีวิต เพราะมนุษย์ทุกคนต้องการหาคำตอบ ยิ่งปัจจุบันมันชัดเจนมากเลยนะ มีทั้งอยากรวยทางลัด อยากเป็น อยากนู่น อยากนี่ เราก็ต้องค่อยๆ รู้จักในตัวตนของเรานะว่าเราเป็นคนแบบไหน บางอย่างปัญหามันเกิดจากข้างนอก ไม่ใช่ตัวคุณเอง แต่คุณออกไปยุ่งกับปัญหาต่างๆ เอง
แล้วถ้ามีปัญหาจากตัวเองจัดการยังไง
ก็นิ่งครับ บางทีดูคนรุ่นเดียวกันเราจะเข้าใจ พอเราอายุมากขึ้นเราจะเห็นเลยว่าแต่ละคนมีความพร้อมสำหรับคนอื่น แต่เราไม่ใช่อย่างนั้น แต่เราก็จะมีอย่างที่เขาไม่มีเหมือนกัน คิดว่าพอใจกับสิ่งที่ตัวเองเป็น มีแล้วไม่เอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่นก็จะมีความสุขในการมีชีวิต
เป้าหมายต่อไป หลังจากอยู่ในซีนดนตรีเร็กเก้มา 30 ปี
ไม่รู้เหมือนกันครับ เราเป็นอย่างนี้ แล้วก็คงเป็นอะไรที่เคยเป็น แล้วเป็นอย่างสม่ำเสมอมั้ง ไม่เปลี่ยนแปลงจนคนเห็นได้ชัด
เล่าการทำงานกับคนเจนใหม่ๆ หน่อย
มีอยู่ช่วงหนึ่งเบื่อครับ เบื่อเพราะว่ามันไม่โต แล้วเราโตจนเราโปรแล้วทำไมต้องมาทำงานกับพวกไม่โปรวะ มันน่าเบื่อ แต่ว่างานเขาดีอ่ะ ก็น่าทำ ทำให้ผมมองว่าถ้าเขาคือตัวจริง มันคือโชคดีชิบหายเลย แล้วสิ่งที่ผมทำมาผมคิดว่าผมเจอคนที่เป็นคนจริงหลายคนแล้ว ดีใจที่ได้ช่วยคนพวกนี้ ผมว่ามันสุดยอดสำหรับตัวผมเอง แล้วทุกครั้งที่ได้ทำ ก็เหมือนกับผมได้พัฒนาการมิกซ์ของตัวเองไปด้วย ไม่ใช่ทำเองเออเอง
มันเป็นโลกของเขาแล้ว อนาคตมันคือของเขาแล้วครับ มันไม่ใช่ของผม ถ้าเรายังโง่อยู่ เราก็จะไม่ทันอะไรเลย สำหรับตัวผมนะ
ในช่วงเวลากว่า 30 ปี มีความรู้สึกเบื่อกับดนตรีเร็กเก้ไหม
จริงๆ ผมรู้จัก Depeche Mode รู้จักวงพวกอิเล็กทรอนิกส์ 80s ก่อน Bob Marley อีกนะ ตอนเด็กผมอยากเป็นแบบ Sex Pistols, Ramones, Pink Floyd เคยเป็นพังก์ด้วยตอนเรียนช่างศิลป ฟังหมด หนังสือก็อ่านยับ อยากรู้เรื่องเซน เรื่องเต๋า ก็อ่าน คือเรียนรู้ มันเลยทำให้เราเป็นคนไม่แคบ
โลกของคนเร็กเก้มันเสียอย่าง คือสิ่งที่คุณพูดมันไม่เคยถูกพัฒนา หมายถึงว่าใจไม่เปิดฟังอย่างอื่นบ้าง แต่ผมฟังตลอด บางทีผมไม่เปิดเร็กเก้เลย ผมเปิดแจ๊ซ ผมเปิดแอฟริกามิวสิก เปิดเยอะแยะไปหมด ทำให้เราเป็นส่วนหนึ่งที่พัฒนาดนตรีแนวนี้ ในปัจจุบัน เร็กเก้บนเกาะจาไมกาจริงๆ เป็นอะไรก็ไม่รู้แล้ว บอกไม่ถูก แต่ไอ้พวกคนที่เป็นรูทที่พัฒนาให้เร็กเก้ดั๊บต่อเนื่องดันกลายเป็นคนยุโรป คนญี่ปุ่น คนเอเชีย
ซีนเร็กเก้บ้านเรายังขาดอะไรอีกรึเปล่า
ไม่มีหรอกครับ มีโอกาสที่ดีเยอะ แค่ตอนนี้มันอาจจะดูเงียบไป เพราะมีอยู่ช่วงหนึ่งที่มีแต่เทศกาลเพลงแบบนี้ แล้ววงเยอะไปหมด ตอนนี้มันถูกสกรีนเหลือแต่วงที่เป็นตัวจริง แสดงว่าเรามีกลุ่มก้อนที่แข็งแรง แล้วถ้าใครจะจัดงาน มันพร้อมที่จะมีซีนนี้เข้าไปอยู่ในเทศกาลตลอด เราได้ไปเล่นในคอนเสิร์ตที่ดีหลายๆ อัน ผมก็ได้ทำดั๊บ ได้ไปเล่นที่ญี่ปุ่นตรงภูเขาฟูจิ เล่นงาน Maho Rasop งาน Wonderfruit ได้เจอกับศิลปินต่างๆ มันโอเคเลย แล้วทุกคนสนใจเมืองไทย อยากมาเล่นที่นี่หมด
ถ้าเทียบกับตอนที่ไปเล่น Glastonbury เป็นยังไงตอนยุคนั้น
ลำบากครับ ไม่ได้อยู่ง่ายเลย อยู่ในเตนท์กันแล้วมีแต่โคลน ไปเล่นเวทีไหนก็เดินถือกีตาร์ไป เหยียบโคลนครึ่งแข้ง มันดี แต่ตามวัยครับ
สุดท้ายแล้ว อยากฝากอะไรถึงคนที่กำลังเดินทางตามหาตัวเอง
มันหายากเนอะ แต่ดีกว่าไม่หาเลย บางทีคุณอาจประสบความสำเร็จในเรื่องฐานะ แต่คุณไม่ได้ทำสิ่งที่คุณรัก จริงๆ ก็ได้ เพราะฉะนั้นคุณต้องเลือกเอา balance มันให้ถูกต้อง จะช่วยส่งเสริมด้านจิตใจ ด้านการมีชีวิตให้เราสมบูรณ์มากขึ้น ผมเจอคนหลายๆ คนที่ไม่ได้เรียนศิลปะ แต่ว่ารักศิลปะชิบหาย เรื่องพวกนี้มันเป็นอะไรที่จรรโลงใจให้คุณได้ ต้องใช้ความอดทน ตอนนี้ทุกคนเป็นตัวของตัวเองกันหมด แค่ว่าเราจะเอาออกมาได้ยังไง แสดงว่ามันไม่สำเร็จใน 2 วัน มันใช้เวลาเยอะมาก แล้วเวลาจะบอกเองว่าคุณใช่หรือไม่ใช่ แต่ถ้าคุณจะกลัวตรงนั้นก็ไม่ได้ คุณจะไม่เจออะไรเลย ถูกมั้ยครับ
ไม่ได้ไม่อยากจะสอนใคร เพราะว่าทุกคนเป็นตัวของตัวเองอยู่แล้ว คิดว่าถ้าใครจะเป็นคนที่เป็นตัวของตัวเองได้ มันต้องใช้เวลาพิสูจน์