กว่าจะเป็น Réjizz: แซมเปิลบทเพลงแห่งชีวิต
ในขณะที่ช่วงกลางวันต้องเร่งปั่นงาน เสนอไอเดีย และปิดจ๊อบให้ทันเดดไลน์ เวลากลางคืนคือช่วงเวลาที่เขาได้ทุ่มเทให้กับผลงานส่วนตัว ทั้งเขียนเพลง อัดเพลง โลดแล่นไปตามจังหวะดนตรี ชีวิตช่วงนั้นคือการสลับรางระหว่างงานคราฟต์ที่บ่งบอกตัวตน กับความมั่นคงด้านหน้าที่การงาน เขาต้องแบกรับทั้งความคาดหวังจากคนรอบข้างและความโหยหาเพื่อแสดงออกถึงจิตวิญญาณภายใน
แม้การต้องตื่นเช้ามาทำงานสุดน่าเบื่อในแต่ละวันดูเหมือนจะไม่มีจุดสิ้นสุด แต่ Réjizz ก็ไม่เคยหยุดไล่ตามความฝันเช่นกัน
เขาตั้งใจทำงานที่ได้รับมอบหมายให้เสร็จตามกำหนด ประชุมออนไลน์ต่อเนื่องแบบไม่หยุดพัก แต่ในระหว่างนั้น Réjizz ไม่เคยปล่อยให้โอกาสในการเขียนเพลงหลุดมือไป เขาสลับแท็บบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ไปพร้อมๆ กับการร่างบีตเพลงจังหวะโดนใจ ไม่ปล่อยให้เวลาหลุดลอย แม้จะเป็นเพียงชั่ววูบของการได้หยุดคิดขณะพักสายตา
ดนตรีเปรียบเสมือนลมหายใจของ Réjizz มันไม่ใช่แค่สิ่งเร้าทางโสตประสาทจากภายนอก แต่เป็นสิ่งที่อัดอั้นอยู่ภายใน และสุดท้าย สิ่งที่เป็นเพียงงานอดิเรก ก็พลิกผันกลายเป็นบางอย่างที่เขาไม่สามารถปิดกั้นมันได้อีกต่อไป

Réjizz รู้จักการแรปครั้งแรกตอนมัธยมปลาย จากการร้องท่อนแรปเล่นๆ ครั้งนั้น เขาแทบไม่เชื่อหูตัวเองว่าจะทำมันออกมาได้ดีขนาดนี้ สิ่งที่ทำเล่นๆ สุดท้ายกลับกลายเป็นสิ่งที่เขารู้สึกว่าต้องทำมันต่อไป แม้กระทั่งการหยุดชะงักของคนทั้งโลกในช่วงปี 2020 ก็ไม่มีผลต่อวินัยที่เขาทุ่มเทให้กับเสียงเพลง ในขณะที่คนอื่นๆ เฝ้ารอให้สถานการณ์โรคระบาดดีขึ้น Réjizz ใช้เวลานั้นแต่งเพลงจากคอมพิวเตอร์ กีต้าร์ เเละลำโพง Marshall เเค่ตัวเดียว อัดเพลง มิกซ์เสียง และปล่อยอัลบั้มแรกส่งตรงจากห้องนอนของเขาเอง ความพยายามของ Réjizz ไม่เคยหยุดนิ่ง เขาได้จับมือกับค่ายเพลง ซึ่งถึงแม้จะเป็นเวลาชั่วคราว แต่ดนตรีของเขาก็ยังคงสะท้อนก้องเบาๆ อยู่ในใจของผู้คน เมื่อดนตรีกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต แม้ว่าครั้งนี้จะไม่มีค่ายเพลงหนุนหลัง แต่เขาก็มีทั้งประสบการณ์ วิสัยทัศน์ และทีมงานที่เชื่อใจกันและกัน นี่ไม่ใช่การเริ่มต้นใหม่ แต่มันคือการต่อยอดจากต้นทุนที่สั่งสมมา
ครั้งแรกที่ EQ ได้คุยกับ Réjizz ในตอนนั้น เขาคือตัวแทนของ ‘ยุคใหม่’ แห่งวงการฮิปฮอปไทย หนึ่งปีผ่านไป การทดลอง การค้นหาตัวตน และการท้าทายกฎเกณฑ์เดิมๆ ของแนวเพลงอย่างต่อเนื่อง ทำให้เขาค้นพบความรู้สึกบางอย่างที่เติมเต็มหัวใจ
สำหรับ Réjizz การทำเพลงไม่จำเป็นต้องมีกฎตายตัว แต่ต้องมีความรู้สึกอยากที่จะทำมัน และเมื่อฟังเพลงนั้นๆ แล้ว คุณจะต้องรู้สึกเหมือนหัวใจพองโต เขาต้องการสื่อสารประสบการณ์ชีวิต เรื่องราวที่ค้นพบ ตัวตนหลากหลายแง่มุม และสิ่งเร้าต่างๆ ที่ทำให้ตื่นตาตื่นใจ โดยใช้บทเพลงเป็นสื่อกลาง ให้มันเป็นเหมือนภาพสะท้อนถึงเรื่องราวชีวิต ปูมหลัง และสุ้มเสียงที่มีผลต่อจิตใจ ผ่านเมโลดี้ในท้องถิ่นและวัตถุดิบจากเพลงเก่าๆ
“ผมก็แค่ทำในสิ่งที่ทำให้รู้สึกดี” Réjizz เล่า “ถ้าตัวเรารู้สึกดีไปกับมัน คนเขาจะสัมผัสได้เอง”
ผลงานเพลงของ Réjizz ในขณะนี้เริ่มเข้าที่เข้าทางแล้ว ด้วยการฟูมฟักจากความรู้ที่มี ผู้คนที่เขาเชื่อมั่น และเสียงดนตรีที่พวกเขาร่วมปรับจูนมาด้วยกัน มันไม่ใช่เส้นทางแห่งการค้นหาอะไรบางอย่างอีกต่อไป แต่คือเส้นทางสู่การนำเสนอสิ่งที่เป็นตัวตนของตัวเอง
บีตดนตรีของเขาเริ่มกระทบใจผู้ฟังมากขึ้น เนื้อเพลงช่วยดึงอารมณ์บางอย่างที่เขาเองก็นึกไม่ถึงออกมา และด้วยเหตุเหล่านี้ Réjizz ถึงได้รู้จักกับตัวเองชัดเจนกว่าเดิม มันคือตัวตนของเขาที่พัฒนาจากคุณค่าที่ยึดถือและผู้คนรอบข้าง มันคือเสียงดนตรีที่ไม่ได้มีไว้สำหรับขึ้นแสดงเท่านั้น แต่มันกลั่นออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจ
“ผมบอกกับตัวเองว่า ลองมันอีกสักตั้งเถอะ เพื่อจิตวิญญาณของเรา”
ไม่จำเป็นต้องคิดว่าผู้ฟังจะเป็นใคร ไม่จำเป็นว่าเพลงจะต้องดัง แค่ทำมันไปอย่างแผ่วเบา รังสรรค์สิ่งที่ซื่อสัตย์กับตัวเองออกมา ปลายทางจะเป็นอย่างไร… ก็ต้องปล่อยมันไป
ในทุกๆ ผลงานเพลง Réjizz เผยตัวตนของเขาออกมาพร้อมๆ กับเสียงดนตรี
“ยิ่งคุณอายุมากขึ้น ปัญหาในชีวิตก็มีเยอะขึ้น” เขาเล่าพลางหัวเราะ “แต่ถ้าเราหาจุดที่ไวบ์กับความยากลำบากในชีวิตได้… มันโคตรทรงพลัง และผมอยากให้มันเป็นแบบนั้น”
การละทิ้งเส้นทางสายดิจิทัลมาร์เก็ตติ้งไม่ใช่การวิ่งหนีภาระ แต่มันคือการรับมือกับชีวิตในอีกรูปแบบหนึ่งก็แค่นั้น
และในบางครั้ง… เราก็แค่เอามาแบ่งปันกับผู้อื่น

Réjizz ไม่ปิดกั้นตัวเองจากสิ่งใหม่ๆ ที่ผ่านเข้ามา เขาชอบความท้าทายและอยากพัฒนาอยู่ตลอดเวลา เมื่อแนวเพลงที่ทำอยู่เริ่มถึงทางตัน เขาก็ไม่ถอยหนี แต่ก้าวข้ามผ่านมันไปด้วยการเปิดใจรับฟัง และเปิดรับความแปลกใหม่จากแนวเพลงอื่นๆ
“ผมไม่อยากถูกจับยัดอยู่ในกล่องใบเดียว เพียงแค่เพราะผมร้องฮิปฮอป” Réjizz เล่า “ผมอยากลองอะไรใหม่ๆ และตอนนี้ก็ทำมันได้แล้วด้วย แต่ไม่รู้จะนิยามว่าแนวเพลงอะไร”
The Weight คือผลงานชิ้นนั้น บทเพลงที่ไม่มีแนวเพลงตายตัว แต่ผสมผสานเอกลักษณ์ของหลากหลายแนวเพลง ทั้งโซล ฟังก์ และอื่นๆ อีกมากมาย มันเหมือนกับการเอาคนที่พูดกันคนละภาษามาทำงานร่วมกัน แต่ทุกคนก็เข้าอกเข้าใจกันดี
สิ่งที่เชื่อมประสานบทเพลง และทำให้มันลงตัว ไม่ใช่เพียงการผสมผสานของหลากหลายแนวเพลงแบบพื้นๆ แต่มันคือเสียงและบีตดนตรีที่มีกลิ่นอายของบ้านเกิด เสียงโปร่งเบาของแคน เสียงวิบวับของเครื่องสาย จังหวะดนตรีที่ทำให้ย้อนนึกถึงตลาดริมทาง งานรวมญาติยามดึก และการเข้าแถวยามเช้าใต้หลังคาวัด องค์ประกอบเหล่านี้ไม่ใช่แค่เครื่องประดับ แต่มันคือความทรงจำที่ถูกแปรสภาพเป็นเสียงดนตรี
ถ้าความเป็นไทยที่ถูกบรรเลงเอาไว้อย่างแผ่วเบาสามารถสะท้อนให้เห็นถึงรากเหง้าที่มาของเขาได้ Réjizz ก็หวังว่าเสียงนั้นจะค่อยๆ ทวีขึ้นและปลุกเร้า กระทบใจ และดึงดูดผู้คนให้โอบรับมันมากขึ้น
จากจุดเริ่มต้นที่เป็นการทดลองวิ่งไล่ตามหาเสียงที่ใช่ ตอนนี้ มันคือเรื่องของการเชื่อมโยงและเบลอเส้นแบ่งระหว่างแนวเพลง ไม่ใช่เพื่อค้นหาความแปลกใหม่ ไม่ใช่เพื่อความแหวกแนว แต่เพื่อหวนกลับไปหาบางสิ่งบางอย่างที่จริงแท้กว่า ลึกกว่า และคุ้นเคยกว่าที่แนวเพลงใดจะสามารถจำกัดความได้
และเมื่อทำเช่นนั้น Réjizz จึงได้พบกับถ้อยคำชุดใหม่ ถ้อยคำที่ขับเคลื่อนด้วยความรู้สึกของบ้าน มากกว่าแนวเพลง
การสร้างสะพานเชื่อมระหว่างแนวเพลงไม่ใช่สิ่งที่ Réjizz ต้องการ เขาอยากเชื่อมโยงมันกับสถานที่ต่างๆ และไม่มีสถานที่ใดจะเหมาะแก่การเริ่มต้นได้เท่ากับสถานที่ที่เขาเรียกว่าบ้าน

“ผมชอบเสียงที่ให้ความรู้สึกถึงบ้าน” เขาเล่า “อยากใช้มันในเพลงให้มากกว่านี้”
คำว่า ‘บ้าน’ สำหรับเขาไม่ได้หมายถึงการโหยหาอดีต การแซมเปิลเพลง (การนำบางส่วนของเพลงมาใช้ใหม่ในอีกเพลง) คือการให้เกียรติสถานที่ที่เขาเติบโตมา มันคือการหยิบเศษเสี้ยวของสิ่งที่คุ้นเคยแล้วพลิกให้กลายเป็นสิ่งใหม่ การไล่ฟังเพลงสากล (เพลงไทยที่ได้รับอิทธิพลจากดนตรีตะวันตก) เพลงจากเพลย์ลิสต์ยุคคุณยาย และคลังเพลงยูทูบหลากยุคหลายสมัยเพื่อเฟ้นหาแซมเปิลที่ใช่ ทำให้เขาได้มากกว่าแรงบันดาลใจ เพราะมันคือสิ่งที่ย้ำเตือนว่า ทุกอย่างที่ต้องการล้วนอยู่ในสถานที่ที่เขาเรียกว่า ‘บ้าน’
“เรามีเสียงที่เท่และแปลกใหม่แบบที่ที่อื่นไม่มี” Réjizz เล่า แล้วทำไมเราถึงต้องไปยืมเสียงจากที่อื่นมาใช้ ในเมื่อบ้านของเรามีเสียงที่กระแทกใจอยู่มากมายไม่แพ้กัน
นั่นคือจุดเปลี่ยนที่ทำให้เขามองเพลง ลูกทุ่ง (เพลงบัลลาดสไตล์ไทยแถบชนบท) และ หมอลำ (เพลงพื้นบ้านภาคอีสาน) ไม่เหมือนเดิม จังหวะ กรูฟ และความดิบของทั้งสองแนวเพลงนี้แทบจะไม่ต่างจากฮิปฮอปเลย แค่ลดความเร็วลง ปรับจังหวะหน่อย แล้วก็แรปแทรกลงไป แค่นี้ทุกอย่างก็ลงตัว มันเหมือนการแปรสภาพของเก่าให้กลายเป็นของใหม่ เอกลักษณ์ความเป็นไทยคือแรงบันดาลใจให้กับ Réjizz
สิ่งเหล่านี้เป็นมากกว่าแซมเปิลที่หยิบยืมมา หรือการย้อนยุคเพื่อความเก๋า แต่มันคือท่วงทำนองที่เกิดขึ้นในประเทศไทย เพื่อคนไทย เครื่องดนตรีอย่าง แคน หรือ พิณ ไม่ได้เพียงเพิ่มสีสันให้กับเพลงเท่านั้น แต่มันคือภาษาดนตรีที่ไม่ใช่แค่คนท้องถิ่นเท่านั้นที่สัมผัสได้โดยสัญชาตญาณ แต่ทุกๆ คนที่ได้ฟังก็สามารถสัมผัสถึงมันได้
Réjizz ไม่ได้รักษาความเป็นไทยเอาไว้ เพียงเพราะมันเป็นขนบประเพณี การหยิบความเป็นไทยที่มีความชัดเจนบางอย่าง แล้วนำมาปรับใช้ในบริบทใหม่ๆ ลึกล้ำมากกว่านั้น เขารู้ดีว่าก่อนที่เขาจะแบ่งปันเสียงเหล่านี้กับผู้ฟังทั่วโลก มันควรจะต้องดังกังวานในพื้นที่ที่เป็นจุดเริ่มต้นเสียก่อน
“มันเข้ากับเราในหลายๆ แง่มุมเลยครับ” เขาเล่า “ผมอยากให้ทั่วโลกได้ยินเสียงจากเมืองไทย”
Réjizz ไม่จำเป็นต้องพิสูจน์อะไรอีกแล้วหลังจากนี้ แต่มันคือการหวนกลับ… กลับไปหาผู้คน สถานที่ และเสียงดนตรีที่หล่อหลอมตัวตนของเขา แล้วแบ่งปันมันกับคนทั้งโลก

เส้นทางเบื้องหน้าไม่มีอะไรแน่นอน ไม่มีจังหวะที่กำหนดไว้ตายตัว ไม่มีกฎเกณฑ์ว่าหนึ่งท่อนร้องต้องยาว 16 บาร์ เสียงดนตรีต้องไม่ถูกจำกัดด้วยแนวเพลง แต่ควรปล่อยให้ไหลไปตามเส้นทางของชีวิต อิสรภาพเหล่านี้ทำให้ Réjizz ชัดเจนกับตัวเองมากขึ้นว่าเขาต้องการทำอะไร และทำไปเพื่ออะไร
“มันอาจมีเพลงที่เราทำขึ้นมาเพื่อตัวเองล้วนๆ” Réjizz เล่า “แต่ดนตรีควรเป็นสิ่งที่เราแบ่งปันให้กันได้ และทำให้คนอื่นรู้สึกเหมือนที่คุณรู้สึก ด้วยพลังและอำนาจของดนตรี ผมอยากถ่ายทอดความรักและความหวังผ่านเพลงให้มากกว่านี้ เพื่อให้คุณรู้สึกดีเวลาได้ฟังมัน”
สิ่งสำคัญไม่ได้อยู่ที่การถ่ายทอด แต่เพื่อเชื่อมโยงผู้คนเข้าหากัน ไม่ใช่แค่การบรรเลงดนตรี แต่มันคือการบรรเลงจิตวิญญาณ เมื่อคุณตั้งใจฟัง คุณจะรู้สึกได้เอง ถึงเรื่องราวต่างๆ ที่ Réjizz พบเจอ จังหวะดนตรีจากบ้านเกิดของเขา และคำมั่นสัญญาบนเส้นทางที่เขากำลังมุ่งหน้าไป
ติดตามเส้นทางของเขาได้ที่ Facebook: Réjizz และ Instagram: @rayjayrangsit